
รีวิวซีรีส์ Crash Landing on You เมื่อเธอหล่นจากฟ้าพบเขา…ที่เกาหลีเหนือ นับเป็นโปรเจกต์ซีรีส์ที่ทำเอาตื่นเต้นและปักหมุดรอดูตั้งแต่ได้ทราบ
เมื่อเธอหล่นจากฟ้ามาพบกับเขา…ที่เกาหลีเหนือ
ยุนเซรี (รับบทโดย ซนเยจิน) สาวสวยรวยเสน่ห์ผู้แสนจะมั่นใจในตัวเอง และเป็นทายาทตระกูลร่ำรวยระดับท็อปของประเทศ แม้เธอจะอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เธอกลับแยกตัวออกจากครอบครัวออกมาสร้างเนื้อสร้างตัวทำกิจการธุรกิจด้านแฟชั่นจนประสบความสำเร็จด้วยฝีมือของเธอเองล้วน ๆ และพิสูจน์ตัวเองจนได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นรับตำแหน่งใหญ่สุดในบริษัทของคุณพ่อ เพื่อสานต่อกิจการของครอบครัว
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อ ยุนเซรี ทำการทดลองเสื้อผ้ากีฬาใหม่ที่ใช้สำหรับการเล่นร่มร่อน (Paragliding) เพื่อต้องการจะทดสอบสมรรถภาพของสินค้าด้วยตัวเอง ซึ่งตัวเธอเองก็มีความเชี่ยวชาญการเล่นกีฬาประเภทนี้มาก่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น โดยเกิดพายุกระแสลมแรงพัดตัวของยุนเซรีไปตกลงในเขตพื้นที่ทางฝั่งเกาหลีเหนืออย่างไม่ตั้งใจ ดูหนังไทย
ที่นั่น..ทำให้เธอได้พบกับ รีจองฮยอก (รับบทโดย ฮยอนบิน) นายทหารของกองทัพเกาหลีเหนือ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือและหลบซ่อนยุนเซรีไว้ เมื่อทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มกลายเป็นความผูกพัน และความรู้สึกดีที่มีต่อกันของทั้งคู่จึงได้ก่อตัวขึ้น มาร่วมกันลุ้นไปพร้อมกันว่าความรักที่ดูเหมือนจะหาเส้นทางมาบรรจบกันได้ยากเสียเหลือเกิน จะมีบทสรุปเป็นอย่างไร
หากใครที่ได้ชมเรื่องนี้ คงจะเห็นได้ชัดว่างานโปรดักชั่นมีความลงทุนสูง โดยแต่ละฉากนั้นภาพสวยเป็นอย่างมาก ซึ่งหลัก ๆ ผู้ชมจะได้เห็นฉากหลังที่เล่าเรื่องราวในฝั่งเกาหลีเหนือ ซึ่งในความเป็นจริงเป็นการจำลอง Setting ขึ้นมาทั้งหมด ทางทีมงานจึงต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะลงรายละเอียด ทั้งการใช้ชีวิตของชาวบ้าน ตลาดพื้นเมือง ค่ายฝึกทหาร ที่ผู้ชมซีรีส์เกาหลีไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นการถ่ายทอดเรื่องราวทางฝั่งเกาหลีเหนือเช่นนี้สักเท่าไหร่
ส่วนตัวรู้สึกได้ถึงการลงรายละเอียดของฉากต่างๆที่ถ่ายทอดออกมาอย่างงดงามและระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดข้อพิพาทตามมา ทีมโปรดักชั่นสามารถที่จะนำเสนอฉากต่างๆออกมาได้อย่างละมุนกลมกล่อม ทั้ง โทนสี และ การจัดวาง ซึ่งเสริมอรรถรสในการรับชมได้เป็นอย่างดี
และที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คงจะเป็นฉากหลังสวย ๆ ที่ลงทุนยกกองไปถ่ายทำกันที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อที่จะส่งต่อฉากหลังอันงดงามในช่วงที่พระนางเคยใช้ชีวิตในที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน ก่อนที่โชคชะตาจะนำพาทั้งสองมาพบกันอีกครั้งที่เกาหลีเหนือ พอได้เห็นฉากสวย ๆ ในเรื่องคงจะทำเอาหลายคนปักหมุดให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อยากไปสักครั้งในชีวิตอย่างแน่นอน
โครงเรื่องที่สนุกจนไม่อยากลุกไปจากหน้าจอ
ถึงแม้จะนำเอานักแสดงนำอย่าง ฮยอนบิน – ซนเยจิน มาเป็นจุดดึงดูดในสเต็ปแรกของการโปรโมต และหลังจากปล่อยตัวอย่างออกมาก็ดูเหมือนว่าจะขายความโรแมนติก-คอมเมดี้อยู่มากพอสมควร แต่หลังจากชมเรื่องราวในซีรีส์จริง ๆ ถือเป็นซีรีส์ที่สามารถมอบความสนุกให้กับผู้ชมได้หลากหลายแนวในเรื่องเดียว
นักเขียนพัคจีอึน สามารถดึงเอาเสน่ห์ของเรื่องราวความรักต่างเชื้อชาติ ระหว่าง ยุนเซรี กับ รีจองฮยอก มาผสมผสานเข้ากับความตื่นเต้นในอีกปมประเด็นที่เธอพลัดเข้าไปในดินแดนเกาหลีเหนือแล้วพยายามจะหาทางหลบหนีเพื่อกลับเกาหลีใต้ โดยในช่วงต้นเรื่องนำเสนอเรื่องราวในรูปแบบโรแมนติกคอมเมดี้ ก่อนที่จะสร้างความรู้สึกบีบคั้นให้กับผู้ชม ด้วยการค่อย ๆ แปรเปลี่ยนอารมณ์เรื่องราวเข้าสู่ โรแมนติกเมโลดราม่า อย่างมีชั้นเชิงและทำให้ผู้ชมต่างเข้าถึงและอินกับเรื่องราวอย่างไม่น่าเชื่อ
และแน่นอนว่าทีเด็ดที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นการลุ้นบทสรุปของเรื่องราว โดยเฉพาะปมความรักที่ดูไม่มีทางจะสมหวังครั้งนี้ที่ยากจะเดาตอนจบ เอาเป็นว่ามารอลุ้นกันว่าความรักครั้งนี้จะลงเอยแบบไหน
นักแสดงระดับท็อปทั้งคู่ ต่างปล่อยของออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรีและสมราคาค่าประสบการณ์งานแสดงที่มีมาหลายปี ฮยอนบิน ที่สวมบทบาทของ รีจองฮยอก นายทหารจากเกาหลีเหนือผู้เคร่งขรึมและเก็บซ่อนความเจ็บปวดและด้านที่อ่อนแอไว้ภายใน สามารถถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมาผ่านสีหน้าและแววตาได้อย่างสมบูรณ์แบบ พอถึงคราวบทขี้งอนน่ารักน่าชังก็ทำได้ดีและน่ารักฝุดๆ พอบทจะละมุนก็ดีต่อใจเหลือเกินนนน
ยุนเซรี จากฝีมือการถ่ายทอดโดย ซนเยจิน ในบทนี้เป็นการพลิกบทบาทของซนเยจิน ที่หลายคนมักคุ้นชินเธอแต่ในคาแรคเตอร์ที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่และเคร่งขรึม พอมาสวมบทบาทไฮโซสาวสุดมั่นที่เผชิญกับชีวิตที่พลิกผัน นอกจากเธอจะมีเสน่ห์และสวยมากกกกกกแล้ว ก็ยังสามารถถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมาได้เหนือความคาดหมายมากเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบอีกอย่างในเรื่องนี้ คือ การนำเสนอความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร โดยเฉพาะตัวยุนเซรี ที่เมื่อก่อนเธอเคยใช้ชีวิตราวกับเจ้าหญิง ยึดตัวเองเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยรอหรือร้องขอความช่วยเหลือจากใคร แต่ภายหลังจากที่มาใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลีเหนือ ผู้ชมจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวละครนี้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งนั่นทำให้ส่วนตัวผู้เขียนชอบตัวละครนี้มากเป็นพิเศษ
นอกจากพระนางแล้ว ก็ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นเพลย์บอยหนุ่มหล่อที่โกงเงินพี่ชายยุนเซรีมาจนต้องหนีมากบดานที่เกาหลีเหนือ กูซึงจุน ซึ่งเป็นการกลับมารับบทนำอีกครั้งของ คิมจองฮยอน หลังจากที่พักรักษาตัวจากอาการป่วย การกลับมาคราวนี้ก็ยังทำได้ดีและชอบการแสดงของหนุ่มคนนี้เหมือนเดิม และทางด้าน ซอดัน สาวนักดนตรีชาวเกาหลีเหนือซึ่งเป็นประชาชนชั้นสูงจากตระกูลร่ำรวย รับบทโดย ซอจีฮเย บทเย็นชาหน้าดุแบบนี้คือบทถนัดที่เธอทำได้ดีเสมอมาและก็ยังไม่ผิดหวังเหมือนเดิม ในเรื่องนี้นอกจากจะเห็นด้านที่เย็นชาของเธอแล้ว เวลาที่เข้าฉากกับ กูซึงจุน ผู้ชมจะได้เห็นด้านที่หลุดๆและน่ารักของตัวละครนี้อย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะ
เศษเสี้ยวประโยคสนทนาจากหนึ่งฉากสุดประทับใจ ในซีรีส์ฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปีนี้อย่าง ‘Crash Landing On You ปักหมุดรักฉุกเฉิน’ ที่เพิ่งออนแอร์ในเกาหลีใต้ ได้ไม่นานนัก ก็กลายเป็นกระแสพูดถึงอย่างล้นหลามบนโลกออนไลน์ในทันที แถมเรตติ้งของเรื่องนี้ก็ยิ่งทำลายสถิติตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกสัปดาห์ เรียกได้ว่าสมกับที่เป็นซีรีส์เรือธงของเกาหลีใต้ในปีนี้เลยจริง ๆ ที่สำคัญต้องยกความดีความชอบให้กับคู่พระนางขั้วแม่เหล็กระดับ A List อย่าง ‘ฮยอนบินและซนเยจิน’ ที่คราวนี้กลับมารับบทนำคู่กันอีกครั้ง หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วครั้งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Negotiation’ ที่ทำเอาคนดูฟินกระจายจนกลายมาเป็นคู่จิ้นที่แฟน ๆ ต่างก็ลุ้นอยากให้เป็นคู่จริงมันซะเลย ก็ทำได้ไงล่ะในเมื่อเคมีของทั้งคู่มันเข้ากั๊นนเข้ากันซะขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าใน Crash Landing On You เองก็มีฉากชวนจิ้นให้แฟน ๆ ได้เสพความฟินกันอย่างจุใจ แถมคราวนี้ยังได้นักเขียนบทสายซีรีส์ โรแมนติก-เมโลดราม่า มือฉมังของฝั่งเกาหลีอย่าง ‘พัคจีอึน’ ที่หลาย ๆ คนอาจเคยได้ชมผลงานสุดปังของเธอกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น My Love From the Star (SBS,2013) และ Legend of the Blue Sea (SBS,2016) ที่เท่านี้ก็สามารถรับประกันได้เลยว่าคุณจะได้รับทั้งความสนุก คุ้มค่า และน่าจดจำไม่ต่างกับผลงานที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
‘ยุนเซริ (รับบทโดย ซนเยจิน)’ ทายาทสาวตระกูลดังในเกาหลีใต้ ที่กำลังเล่นร่มร่อนและเกิดอุบัติเหตุจนพลัดตกเข้าไปในเขตพื้นที่ของประเทศเกาหลีเหนืออย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เธอได้พบกับ ‘รีจองฮยอก (รับบทโดย ฮยอนบิน)’ เจ้าหน้าที่หนุ่มจากกองทัพของเกาหลีเหนือที่มาพบกับเธอเข้า และตัดสินใจไม่สังหารเธอตั้งแต่แรกเห็นตามที่กฎหมายได้บัญญัติเอาไว้ แต่เขากลับเลือกที่จะพาเธอไปซ่อนตัวและพยายามช่วยเธอให้หาทางกลับไปที่ฝั่งเกาหลีใต้ได้อย่างปลอดภัยในทันที โดยที่ทั้งเธอและเขาแทบไม่ได้รู้ตัวเลยว่า …ระยะเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันแม้ว่ามันจะสั้น แต่มันช่างมีความสุขมากกว่าที่ใดบนโลกใบนี้เสียอีก
ผู้กำกับ : อีจองฮโย (ผลงานก่อนหน้า “Romance is a Bonus Book”)
เขียนบท : พัคจีอึน (ผลงานก่อนหน้า “The Legend of the Blue Sea”)
ชอบจริง ๆ เวลาที่หนังหรือซีรีส์เกาหลีพยายามจะนำเสนอความแปลกใหม่ผ่านพล็อตเรื่องหรือแง่มุมของอาชีพแปลก ๆ ที่เรามักจะไม่ค่อยได้พบเห็นหรือแม้กระทั่งให้สนใจในเบื้องลึกของเรื่องราวเหล่านั้นซะด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ ‘Crash Landing On You ปักหมุดรักฉุกเฉิน’ ที่เราค่อนข้างเซอร์ไพรส์อยู่เหมือนกัน กับการหยิบเอาเรื่องราวและวิถีชีวิตของ ‘เหล่าสหายในเกาหลีเหนือ’ ดินแดนลับตาที่ทั้งโลกแทบไม่เคยได้สัมผัส มาร้อยเรียงให้เข้ากับเรื่องราวความรักโรแมนติกของหญิงชาย ในสไตล์ซีรีส์เกาหลีออริจินัลที่มีเรื่อง ‘ความรักบนเส้นขนาน’ เป็นจุดขายสำคัญของเรื่อง ประหนึ่งว่ากำลังดู ‘คู่กรรมเวอร์ชันเกาหลี’ อยู่ก็มิปาน (ศัพท์ก็เก่าเกิ๊นน) คือแค่ได้อ่านเรื่องย่อคร่าว ๆ
ซึ่งเราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มีปมขัดแย้งอะไร และมันจะกลายเป็นเรื่องราวอันตรายแค่ไหน ถ้านางเอกของเรื่องอย่าง ‘ยุนเซรี’ บังเอิญร่อนเครื่องร่อนแล้วตกลงไปในระหว่างพรมแดนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘DMZ เส้นขนานที่ 38’ ซึ่งในขณะนั้น ‘รีจองฮยอก’ พระเอกของเราก็กำลังลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่นั้นพอดี โดยความน่าสนุกอย่างแรกของเรื่องที่อยากจะพูดถึงนั่นก็คือ การที่ซีรีส์สามารถพาคนดูไปเบิกเนตร เพิ่มความรู้ให้สมอง และเปิดมุมมองใหม่ของประเทศลับแลอย่าง ‘เกาหลีเหนือ’ ได้กว้างขวางอย่างที่เราแทบไม่เคยได้เห็นในซีรีส์เกาหลีเรื่องไหนมาก่อนเลยก็ว่าได้ ยอมรับเลยว่าตื่นตาตื่นใจเและตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ที่ได้เห็นได้รู้จักแง่มุมและวิถีชีวิตฉบับคนเกาหลีเหนือมากขึ้น ผ่านการนำเสนอที่ทั้งละเอียดอ่อนและด้วยงานภาพที่สวยงามตระการตา ที่ถึงแม้เราจะรู้ดีอยู่แล้วว่าบางอย่างในภาพเหล่านั้น มันอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างที่เราเห็น(เช่นฉากวิ่งบนทุ่งสังหาร) แต่มันก็ทำให้มุมมองที่เคยมีต่อประทศเกาหลีเหนือนั้นเปลี่ยนไปได้มากอยู่เหมือนกัน (นี่สินะอิทธิพลของสื่อ) คือต้องชื่นชมความใส่ใจของทีมเขียนบทที่สามารถสอดแทรก ‘ความจริง(บางส่วน)’ ลงไปในเรื่องสมมติได้อย่างลื่นไหลและเฉียบคม เพราะทั้งเรื่องเราจะได้เห็นมุกตลกร้ายระหว่างคนเกาหลีใต้(นางเอก) และคนเกาหลีเหนือ(พวกพระเอก) เช่น “เมื่อเรารวมประเทศกัน ฉันจะ…” ที่หากว่าใครได้ดูก็จะรู้ว่ามันฮาและน่าเอ็นดูแค่ไหนตอนที่พูดออกมา แต่ความเป็นจริงแล้วมันช่างน่าเศร้าและขมขื่นเหลือเกิน เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าประโยคนี้มันเกิดขึ้นจริงได้ ‘ยาก’ แค่ไหน
เช่นเดียวกันกับฉากหนึ่งที่นางเอกพูดกับพระเอกก่อนจะจากกันว่า “ฉันไปถึงแอฟริกา ไปถึงขั้วโลกใต้ก็ยังได้ น่าเสียดายนะที่คุณดันอยู่ที่นี่” ใช่ คำบอกลานี้มันอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งกินใจอะไรนัก ถ้ามันไม่ได้อยู่ในเรื่องราวของผู้หญิงเกาหลีใต้คนหนึ่ง ที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังตกหลุมรักชายชาวเกาหลีเหนือคนนั้น …มันจึงเป็นบทสนทนาที่แสนจะง่ายดาย แต่ทว่ามันกลับสร้างความรู้สึกและตกตะกอนอะไรบางอย่างในใจเราได้มากมาย เรียกได้ว่าแค่ 4 ตอนแรก ซีรีส์เรื่องนี้ก็ตีโจทย์ของความรักบนความเจ็บแบบหน่วง ๆ ได้แตกกระจุยไปเลยทีเดียว เรื่องความสวยงามของงานภาพและดนตรีประกอบ ก็ยังคงท็อปฟอร์มในสไตล์เกาหลีแบบไม่มีตกหล่น จะเรียกว่าเป็นเพราะเสน่ห์และความขลังของสถานที่ต่าง ๆ ในเกาหลีเหนือที่สามารถสะกดเราไว้ให้อยู่กับหน้าจอได้ตลอดก็ว่าได้ มันจึงทำให้เราอยากดูอีก อยากเห็นอีก อยากจะรู้จักมุมมองต่าง ๆ ให้มากกว่านี้อีก แถมเรื่องเคมีนักแสดงแต่ละคนนี่ก็แทบไม่มีมีอะไรให้น่าเป็นห่วง …ฟินหมอนขาดแน่นอน สุดท้ายนั้นสิ่งหนึ่งที่ประทับใจเราที่สุดก็คือ ซีรีส์เรื่องนี้ทำหน้าที่ ‘สะท้อนสังคม’ ได้อย่างสร้างสรรค์และน่าสนใจ เพราะมันกล้าพูดกล้านำเสนอสังคมในด้านที่คนดูอยากเห็นและให้ความสนใจได้จริง ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำของทั้งสองประเทศ เรื่องความต่างของภาษา ปัญหาคอร์รัปชันในกองทัพ และชีวิตความเป็นอยู่ของสองสังคมที่แม้จะใกล้กันแค่ไหนแต่ก็เหมือนกับคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผ่านเรื่องราวครบรสที่มีทั้งความรัก ความฮา สืบสวนปริศนา และบู๊ระห่ำได้อย่างอร่อยกลมกล่อม ถือเป็นอีกหนึ่งงานคุณภาพจากแดนกิมจิที่เหมาะสมจะเป็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์สำหรับปลายปีนี้จริง ๆ น่ะแหละ