ลิเวอรพูล ตัดสินใจที่จะไม่แย่งตัว ติโม แวร์เนอร์ แข่งกับ เชลซี ทั้งที่สามารถให้ค่าตัวเท่ากับอีกฝ่ายได้ เป็นเพราะพวกเขาอยากเอาเงินไปใช้ต่อสัญญากับคนที่สร้างความสำเร็จให้ทีมในช่วงที่ผ่านมา อย่างเช่น เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อลีสซง เบ็คเกอร์ มากกว่า พร้อมบอกว่าเดิมที ลิเวอร์พูล ก็ไม่คิดที่จะช็อปแบบชวนฮือฮาอยู่แล้ว
ลิเวอรพูล ยอดชมรมที่เวท์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะไม่ยื่นซื้อ ติเดียนโม แวร์เนอร์ แผงหน้าคนเก่งของ แอร์เบ ไลป์สิกข์ แข่งขัน กับ เชลซ์ เพราะว่าต้องการไปเน้นย้ําให้ความเอาใจ ใส่สําหรับการต่อสัญญากับนักฟุตบอลบางบุคคลในกลุ่ม ชุด ปัจจุบันนี้ ดังเช่นว่า เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ แล้วก็ อลสซง เบ็ค เกอร์ มากยิ่งกว่า ตามรายงานของ ดิ อินเดเพนเดนท์ สื่อ ชั้นหนึ่งของเมืองผู้ดี
ตลอด ตอนนับเป็นเวลาหลายเดือนก่อนหน้าที่ผ่านมา หงส์ แดง ถูก ชูให้เป็นเต็ง 1 ที่กําลังจะได้ตัว แวร์เนอร์ ไปร่วม กองทัพ ภายหลังนักฟุตบอลมองมีใจให้กับ “ลิเวอร์พูล เป็นอันมาก แม้กระนั้น กลุ่มของผู้จัดการทีม พบร์เก้น คล็อปป์ ก็ลดความพึงพอใจในตัวเขา ภายหลังที่ไม่ต้องการ ที่จะอยากสู้ค่าฉีกข้อตกลงของเจ้าตัว โดยบางสื่อกล่าวว่า อยู่ที่ 50 ล้านปอนด์ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) ส่วนบางราย พูดว่ามันมีมูลค่า 52 ล้านปอนด์ (ราว 2,080 ล้านบาท)
ทั้งนี้ ไม่นานมานี้ทั้ง บิลด์ สื่อชื่อก้องของเยอรมนี และ สกายสปอร์ตส์ สื่อกีฬาที่มีความน่าเชื่อถือสูงของอังกฤษต่างก็ประโคมข่าวว่า เชลซี กลายเป็นทีมที่จ่อจะได้ตัว แวร์เนอร์ ไปเสริมคม หลังจากพวกเขาพร้อมจ่ายค่าฉีกสัญญาของแข้งวัย 24 ปี และลือกันว่ามันถึงขั้นตกลงเงื่อนไขในเบื้องต้นกันได้แล้วด้วย
ที่จริงแล้ว ลิเวอร์พูล ยังสามารถยื่นเงินเท่ากับค่าฉีกสัญญาของ แวร์เนอร์ เพื่อชิงตัวดาวเตะเลือดเบียร์สู้กับ เชลซี ได้ แต่ ดิ อินเดเพนเดนท์ บอกว่า “หงส์แดง” ตัดสินใจแล้วว่าพวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้น โดยความสำคัญลำดับแรกของพวกเขาในตอนนี้คือการจับ ฟาน ไดค์ และ อลีสซง ต่อสัญญาให้ได้ แม้ว่าทั้งคู่จะยังเหลือสัญญากับทีมจนถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 และ 2024 ตามลำดับก็ตาม เพราะผู้บริหารของ “หงส์แดง” อยากมอบรางรับให้แข้งเหล่านั้นที่พาทีมได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลก่อน รวมถึงกำลังจะได้แชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีด้วย
สื่อเจ้าเดิมเสริมว่า ลิเวอร์พูล ไม่คิดที่จะทุ่มเงินก้อนโตไปกับการเสริมทัพหลังจบฤดูกาลนี้ตั้งแต่ก่อนที่เชื้อไวรัสโควิด-19 จะสร้างปัญหาให้กับหลายประเทศทั่วโลกแล้ว และพอเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อร้ายมันก็ทำให้พวกเขาตัดสินใจหนักแน่นในเรื่องนั้นมากขึ้นไปอีก